บทความดีดี

เรื่องเล่าต่างมุมมอง คิดใหญ่-คิดเล็ก





วิศวกร คุมงานเดินเข้าไปในสถานที่ก่อสร้าง พบช่างก่ออิฐคนหนึ่ง จึงเดินเข้าไปหาและถามช่างอิฐว่า “คุณกำลังทำอะไรอยู่” ?
  • ช่างก่ออิฐ คนแรก ตอบว่า “ไม่เห็นหรอครับ ว่าผมกำลังก่ออิฐอยู่”
วิศวกรเดินไปอีกหน่อย ก็พบช่างอิฐคนที่สอง จึงเดินไปถามช่างก่ออิฐคนที่สองว่า “กำลังทำอะไรอยู่” ?
  • ช่างก่ออิฐคนที่สองตอบว่า “ผมกำลังสร้างกำแพงอยู่ครับ”
วิศวกรเดินไปอีกหน่อยก็พบช่างก่ออิฐคนที่สาม เขาก็เดินเข้าไปถามคำเดิมว่า “คุณกำลังทำอะไรอยู่” ?
  • ช่างก่ออิฐคนที่สาม หันมามองด้วยสายตาเป็นประกายและตอยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “ผมกำลังสร้างปราสาทหลังใหญ่อลังการ อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
คุณคิดว่าช่างก่ออิฐคนไหน จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีพลัง มีความสุขมากกว่ากัน คนที่ฝันใหญ่ และมีจินตนาการแห่งความสำเร็จจะทำงานได้อย่างมีความสุข ทำงานได้อย่างเข้มแข็งเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและไม่ย่อท้อไม่เหน็ดเหนื่อยและวันหนึ่งเขาก็จะได้ทำงานที่ใหญ่ขึ้น มีเป้าหมายที่ ท้าทายขึ้น สามารถก้าวหน้าได้เร็วและเดินทางไปสู่จุดหมายที่ต้องการได้สำเร็จ…..
คุณได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องราวข้างบนนี้บ้างครับ?

ความคิดคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด


เรื่องราวของผู้ซึ่งใช้ “ความคิด”เพื่อเปิดทางสู่การเป็นหุ่นส่วนธุรกิจกับ โทมัส เอ. เอดิสัน


แท้ที่จริงแล้วความคิดคือสินทรัพย์ และเป็นสินทรัพย์ทีมคุณค่ามากด้วย เมื่อความคิดผสมผสานกับเป้าหมายที่ชัดเจน ความมุ่งมั่น และปณิธานอันแรงกล้าแล้ว มันสามารถจะแปรเปลี่ยนไปเป็นความร่ำรวยและทรัพย์สินเงินทองได้
หลายปีก่อน เอ็ดวิน ซี. บาร์นส์ ได้ค้นพบวิธีการว่าจะ คิดแล้วรวย ได้อย่างไรการค้นพบของเขาไม่ได้มาในครั้งเดียว แต่ได้มาทีละเล็กทีละน้อย เริ่มต้นจากปณิธานอันแรงกล้าทีจะร่วมทำธุรกิจกับโทมัส เอดิสัน ผู้ยิ่งใหญ่
ปณิธานของบาร์นส์มีลักษณะพิเศษคือ ความชัดเจน เขาต้องการที่จะทำงาน กับ เอดิสัน ไม่ใช่ทำงานให้เขา โปรดตั้งใจอ่านเรื่องราวต่อไป เพื่อค้นหาคำตอบว่าเขามีวิธีการอย่างไรในการเปลี่ยนปณิธานให้กลายเป็นความจริง แล้วคุณจะเข้าใจหลักการที่จะนำไปสู่ความร่ำรวยได้ดีขึ้น
เมื่อปณิธานและความคิดแวบเข้ามาในจิตใจ เขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำตามความคิดได้ เนื่องจากมีอุปสรรคขวางทางอยู่ 2 ประการคือ เขาไม่รู้จักเอดิสันเป็นการส่วนตัว และก็ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อตั๋วรถไฟไปเมืองเวสต์ออเรนจ์ รัฐนิวเจอร์ซี ที่ซึ่งห้องปฏิบัติการของเอดิสันตั้งอยู่ อุปสรรคเหล่านี้อาจทำให้คนส่วนใหญ่ท้อถอยแต่ไม่สำหรับเขา เพราะปณิธานของเขาต่างจากคนธรรมดาๆทั่วไป

เป้าหมายของคุณคืออะไร?



อาชีพของคุณต้องขึ้นอยู่กับความสามารถและความสนใจของคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักดับเพลิงเกษตรกร หรือนักฟุตบอล มันก็แล้วแต่คุณ สิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนั้นอยู่เหนืออาชีพของคุณ ชีวิตแบบใดที่คุณมีถ้าคุณเป็นนักฟุตบอล? คุณจะมีชีวิตอย่างไรถ้าคุณเป็นเกษตรกร? นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าถามคุณในการสร้างวัตถุประสงค์คือการสร้างความหมายของชีวิตที่คุณดำเนินไปนั้น ถ้าคุณจะเป็นเกษตรกร ดังนั้นแล้วคุณควรจะตั้งวัตถุประสงค์ในการทดลองแนวทางทางการเกษตรใหม่ๆ เช่นการพัฒนาชนิดของธัญพืชต่างๆและช่วยขจัดปัญหาความอดอยาก ถ้าคุณเป็นนักฟุตบอล ดังนั้นแล้วจงตั้งวัตถุประสงค์ที่มีความหมายของคุณขึ้น อย่างเช่นเพิ่มภาพลักษณ์ของประเทศของคุณให้เกิดขึ้นในโลกและก่อตั้งสโมสรฟุตบอลในการช่วยสอนให้กับเด็กๆที่มีความฝันอยากจะ
เล่นฟุตบอลแต่ไม่มีทุนทรัพย์


ในการเป็นนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงระดับโลกนั้นต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก ถ้าคุณไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในหัวใจของคุณแล้วละก็คุณจะไม่สามารถอดทนต่อการฝึกซ้อมที่ยากลำบากได้ การไปถึงจุดสูงสุดได้นั้นเพียงแค่คุณมีวัตถุประสงค์ คุณจะมีพลังในการคงไว้ซึ้งหนทางของคุณและชีวิตของคุณ ชีวิตที่ซึ่งอยู่เหนือกว่าทุกคนที่อยู่รอบข้างคุณ
ท่านสาธุคุณ ซัน เมียง มูน

มุมมองของชีวิต… ที่ต้องหันกลับมามอง




มุมมองของชีวิต… ที่ต้องหันกลับมามอง
เราเกิดมาบนโลกนี้ ด้วยความรู้สึกที่เหมือนๆกันทุกคน คือ ไม่รู้สึกอะไรเลย ณ วันที่เราลืมตาดูโลก เพราะเวลานั้น เรายังคงเป็นเด็กน้อยแบเบาะ ที่ยังไม่ประสีประสาอะไรเลยนั่นเองหากแต่เมื่อเราเติบโตขึ้น เริ่มมีสิ่งที่เข้ามากี่ยวข้องกับชีวิตของเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การเลี้ยงดูในเยาว์วัย การศึกษา ฐานะทางครอบครัว สิ่งแวดล้อม หรือ เพื่อนฟูงที่คบหาสมาคมกันมมาล้วนเริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับรูปแบบการดำเนินชีวิตของเรามากขึ้นทุกๆวัน จนเกือบจะเรียกได้ว่าสิ่งเหล่านี้กลายเป็นชีวิตของเราที่ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า จนเราเกือบจะไม่รู้สึกตัวเลยว่าวันเวลามันผ่านไป เผลอนิดเดียวเราก็เข้าเรียนในวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยกันแล้ว เผลอมากไปกว่านั้น หลายคนแต่งงาน มีลูก หรือบางคนก็ทำงาน ทำงาน แล้วก็ทำงาน

คนที่สามารถหันกลับมามองชีวิตตนเองอย่างชัดเจนได้นั้น ย่อมต้องมี

“ใจที่กว้างพอ”
จากที่รู้สึกว่าเผลอไปนิดเดียว แต่กลับมามองชีวิตจริงๆอีกครั้ง หลายคน ไม่ใช่มีชีวิตที่ผ่านไปวันๆ แต่กลับมีปัญหาชีวิตติดตามตัวมาด้วย โดยไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำ เช่น บางคนมีหนี้สิน เริ่มจากน้อยๆ เผลออีกแล้วเงินต้นยังไม่ได้จ่าย แต่ดอกเบี้ยตามมาอีเป็นกอง หันไปทางซ้าย หันไปทางขวา คนอื่นๆเขาไปทำอะไรกันนะ แต่เราหละ กำลังทำอะไรอยู่ ทำไมชีวิตถึงเป็นแบบนี้ จะมีสักกี่ครั้ง กี่หน ที่เราจะเข้าใจชีวิตได้อย่างถ่องแท้หากเราไม่หันกลับมามองชีวิตของเราสักครั้งหนึ่งอย่างจริงจัง ถ้าเปรียบเสมือนชีวิตของเราคือ สงคราม ก็ต้องบอกว่า สงครามที่ยืดเยื้อยาวนานกว่าสงครามใดๆ ก็คือสงครามชีวิตของเรานั่นเอง หากแต่ถ้าเราเอาชนะได้อย่างเด็ดขาดโดยไม่กลับมาแพ้อีกแล้วล่ะก็ เราจะกลายเป็น ยอดนักรบในสงครามชีวิตของเราเอง และนั่นหมายถึง เรามองเห็นอย่างชัดเจนว่า อะไร คือสิ่งที่เราควรจะตัดสินใจเลือกให้แก่ชีวิตของเรา เพราะเท่าที่ผ่านมาทั้งหมดในอดีตของชีวิต เราต่างก็เป็นคนเลือกสิ่งเหล่านั้นให้แก่ชีวิตเราทั้งสิ้น ผลลัพธ์ในวันนี้ คือ สิ่งที่เราเคยเลือกมาแล้ว แต่วันนี้เราจะเป็นผู้เลือกอีกครั้ง เลือกโดยมีแนวคิดต่อชีวิตที่ดี ที่ได้เรียนรู้ ทบทวนศึกษาข้อมูลอย่างแท้จริง ไม่ใช่ฟังคนอื่นพูด ได้ยินคนอื่นเล่าแต่ในครั้งนี้เราเอาใจของเราเข้าไปฟัง และไตร่ตรองด้วยตัวเราเอง ในที่สุดเราก็คือคนที่ตัดสินใจเลือกรูปแบบชีวิตที่กำลังจะถูกทำให้เกิดขึ้น ด้วยตัวของเราเอง

สงครามที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดกว่าสงครามใดๆ

ก็คือ….สงครามชีวิตของเรานั่นเอง

ทำอย่างไรคนเราจึงจะหันมามองชีวิตอย่างจริงจังอีกสักครั้ง ก็คงต้องบอกว่า คนที่จะสามารถหันกลับมามองชีวิตตนเองอย่างชัดเจนได้นั้น ย่อมต้องมี “ใจที่กว้างพอ” ใจที่จะยอมรับกับความจริงในชีวิตได้ เช่นเรื่องที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้… ในประเทศอินเดีย ลิง นับเป็นสัตว์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้านมากๆ เพราะ ลิงชอบมาขโมยผลไม้ในสวนของชาวบ้านอยู่เป็นประจำ ชาวบ้านจึงคิดหาวิธีที่จะจับลิงให้ได้อย่างง่ายๆ จึงใช้ขวดโหลแก้ว ที่มีปากขวดขนาดพอที่ลิงจะสอดมือล้วงเข้าไปได้ แล้วใส่ภั่งที่เป็นของที่ลิงชอบของลิงลงไปในขวดโหลปริมาณพอสมควร วันหนึ่งที่ลิงมาถึงสวนผลไม้ มองเห็นขวดโหลที่เต็มไปด้วยเมล็ดถั่ววางอยู่ ลิงจึงสอดมือล้วงเข้าไปในขวดโหลเพื่อหยิบถั่ว แต่พอลิงกำถั่วไว้ในมือ ลิงก็ไม่สามารถเอามือออกจากขวดโหลได้ เพราะมือที่กำถั่วไว้นั้นมีขนาดใหญ่กว่าปากขวด แม้ลิงจะพยายามดึงมือออกอย่างไร ก็ไม่สามารถถอนมือออกจากปากขวดได้ พอชาวบ้านมาถึงก็ตรงเข้าจับลิง ลิงก็วิ่งหนี แต่ครั้งนี้ไม่สามารถวิ่งได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวไม่สามารถปีนหนีไปบนต้นไม้ได้เหมือนเคย เพราะมีมืออยู่ข้างเดียว มืออีกข้างยังคงกำถั่วไว้และติดอยู่กับขวดโหลตลอดเวลา ในที่สุด ชาวบ้านก็สามารถจับลิงได้ โดยที่ลิงหาเฉลี่ยวใจไม่ว่าเพียงแค่มันคลายมือออกจากการกำถั่ว มันก็จะสามารถเอาตัวลอดได้แล้ว แต่เป็นเพราะมันกลัวสูญเสียถั่วและกำไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ยอมปล่อย มันจึงต้องเอาทั้งชีวิตเข้าแลกนั่นเอง….
วันนี้ อาจมีหลายอย่างในชีวิตที่เราก็กำลังคิดว่านั้นเป็นของๆเรา นั่นมีความสำหรับเรา นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องการ นั่นคือชีวิตของเรา เช่น เราทำธุรกิจแล้วไม่ประสบความสำเร็จตามที่เราต้องการ หรือทำไปทำมานอกจากรายได้จะน้อยลงแล้ว ยังไม่พอกับรายจ่าย จนเป็นปัญหาหนี้สินรุงรัง แต่เราก็ยังเพียนพยายามที่จะทำธุรกิจนั้นต่อไป วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า กราะทั่งเราถึงทางตันจริงๆ จะดีกว่ามั้ย หากเราไม่ต้องแลกบางสิ่งบางอย่างหรือประสบการณ์บางอย่างด้วยชีวิตทั้งชีวิต ถ้าเพียงแค่เราปล่อยหรือคลายความรู้สึกที่ยึดติดกับสิ่งๆนั้นลงเสียบ้าง ก็จะทำให้เรามีโอกาสที่จะได้ค้นพบสิ่งที่ดีกว่าให้แก่ชีวิตของเรา… เพราะเราคือ ยอดนักราบในสงครามชีวิต ที่เรียนรู้การเอาชนะสงคราม และค้นพบชีวิตใหม่ที่ดีกว่านั้นเอง …

เราเท่านั้น คือ คนที่จะเลือกและกำหนดรูปแบบชีวิตของตัวเราเอง

ต้นทุนชีวิต




ทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าชีวิตเราเกิดมาขาดทุน
ต้นทุนชีวิต” แอ๊ะ! เป็นอย่างไร วันนี้เรารองถามตัวเราเองว่าตั้งแต่แรกเกิดจนถึงปัจจุบันเราใช้ทุนไปเท่าไหร่แล้วในที่นี้จะยกตัวอย่างของตัวผู้เขียนบทความเลยแล้วกัน
ปัจจุบันอายุ 23 ปี เงินทุนที่พ่อแม่ส่งเสียเลี้ยงดูมาตั้งแต่แรกเกิดจนกระทักจบมัธยมศึกษาปีที่ 6ใช้ไปประมาณ 5 ล้านบาทส่วนค่าใช้จ่ายตอนเรียมหาลัยมีดังนี้จ้า
ค่าเช่าห้อง 4,000บาท คูณ 12 เดือน= 48,000 บาท คูณอีก 4 ปี = 192,000บาท
ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เดือนละ 25,000 บาท คุณ 12 เดือน = 300,000บาท  คูณอีก 4ปี= 1,200,000 บาท
รวมต้นทุนชีวิตกันดูนะค่ะ
ค่าเลี้ยงตั้งแต่แรกเกิดจนจบ ม 6                   5,000,000   บาท
ค่าห้อง                                                             192,000         บาท
ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน                             1,200,000     บาท
รวมเป็น                                                          6,392,000   บาท
เรียนจบแล้วต้นทุนเรา 6 ล้านกว่า จบแล้วทำไรค่ะ ทำงานเงินเดือนประมาน  12,000 บาท
แต่ก่อนอื่นที่จะพูดคุยกันเรื่องงาน เรากลับไปที่ความฝันตอนเรียนกันก่อนน่ะค่ะเชื่อเหลือเกินว่าทุกคนมีความฝันแน่นอนอย่างฝันอยากเป็นหมอ เป็นตำรวจ ฝันอยากมีบ้าน มีรถขับสักคันสวยๆเอาไว้ไปรับสาวๆ อยากไปเที่ยวกับครอบครัว เราลองมาคำนวนความฝันของเรากันดีกว่า
ฝันอยากมีบ้าน         ราคาหลังละ       1,000,000 บาท
มีรถขับสักคันสวยๆ ราคาประมาณ    3,000,000 บาท
เงินเก็บในบัญชีสัก ประมาณ             1,000,000 บาท
เงินที่ใช้สำหรับการท่องเที่ยว           1,000,000 บาท
เรามารวมความฝันกันค่ะ             6,000,000 บาท
กลับมาที่การทำงานหลังจากที่เราเรียนจบ
เรียนจบปริญญาตรีเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 8,000-12,000 เราเองเป็นคนที่เหนี่ยวแน่นกับความฝันมาก เก็บเงินประมาณเดือนละ 5,000 บาท
เก็บ 1 ปี = 60,000 บาท
เก็บ 10ปี = 600,000 บาท
เก็บ 100 ปี = 6,000,000 บาท
อันนี้ผู้เขียนคำนวณเล่นๆดูก็ตกใจ เมื่อก่อนก็ไม่เคยคิดว่าเราจะขาดทุน  ขาดทุนอย่างไรก็ตอนที่แม่เลี้ยงเราจนเรียนจบใช้เงินไป 6 ล้านกว่าบาทกว่าจะเก็บเงินได้ 6,000,000 บาท ก็ต้องเก็บอีก100 ปี  อยู่ไม่ถึงหรอก ตอนนี้ก็ปาเข้าไป 23 ปีแล้วไม่ต้องพูดถึงความฝันเลยเป็นไปไม่ได้แน่นอน ในความเป็นจริงในชีวิตประจำวันลำพังเงินเดือนประมาณนี้เดือนชนเดือนตลอด เราเก็บไม่ได้เยอะขนาดนี้หรอกว่าไหม? แม้เราเองจะตอบแทนแม่ยังได้ไม่ถึงเลย เท่าที่ท่านเลี้ยงเรามา คุณเองลองคำนวณชีวิตคุณก็ได้ เมื่อเกิดเหตุการแบบนี้ขึ้น ผู้คนจึงดิ้นรนหางานทำเพิ่ม บางคนอยากรวยทำธุรกิจ ถ้าทำธุรกิจก็เสี่ยงมากมีคู่แข่งเยอะ เศษรฐกิจขึ้นๆลงควบคุมไม่ได้ ปัญหามีเยอะแยะมากมาย โอ้ยทำไงดี
ทำงานประจำก็เลี้ยงได้เพียงชีวิตเดียว ถึงแม้ว่าจะผ่อนคอนโดได้ ก็ไม่คุ้มเพราะส่วนใหญ่เราใช้ชีวิตกับที่ทำงานการเดินทางไปกลับที่ทำงานมากกว่าที่จะอยู่ที่ห้องหรูๆ ซะอีก  เช้าก็ต้องรีบตื่นไปทำงาน เย็นก็เจอกับรถติด ชีวิตวนไปมาอย่างนี้หลายปีแล้วหลายปีเล่า ไม่มีอะไรดีขึ้น
เคยถามตัวเองว่าเราเกิดมาเพื่อทำงานหรอ?จริงๆแล้วชีวิตเราเกิดมาเพื่อทำงานอย่างเดียวหรอ? เราต้องการความสุขไม่ใช่หรอ? เราต้องการเวลาอยู่กับคนที่เรารัก อยู่กับพ่อแม่อย่างมีความสุขไม่ใช่หรอ? แล้วมันมีงานอะไรบ้างหละที่ทำแล้วเสร็จในระยะเวลาสั้นๆ ? จากนั้นใช้ชีวิตยาวๆ โดยไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องเงิน  มีไหมงานแบบนี้มีไหม ลงทุนน้อยไม่เสี่ยงอะ?


ธุรกิจ 4 ยุค

ในโลกธุรกิจนั้นเราได้มีการแบ่งยุคออกเป็น ยุคด้วยกันได้แก่


ยุคที่ คือ ยุคแห่งเกษตรกรรม
สังเกตได้จากการที่คนสมัยก่อนที่ มีที่เยอะทำเกษตรกรรมค้าขายเกี่ยวกับสินค้าเกษตรกรรม จะร่ำรวยมีเงินมีทอง และ ผู้ที่หลงเหลือจากยุคนั้นก็ยังมีให้เห็นอยู่ประปราย โดยที่ถ้าเราจะทำในยุคนี้นั้นแสนจะลำบากราคาค่าที่ดินเพิ่มขึ้นมาก คู่แข่งก็มากมาย


ยุคที่ คือ ยุคของอุตสาหรรม
ช่วงที่ประเทศเกิดการพัฒนา เปลี่ยนแรงคนแรงสัตว์ให้เป็นแรง เครื่องจักร ก็ทำให้คนเบาแรงลง และก็ทำให้เจ้าของธุรกิจ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมเจริญรุ่งเรืองไปตามๆกัน รวมถึงโรงงานผลิตต่างๆนาๆที่ปัจจุบันก็ยังทำรายได้ดีอยู่ แต่ก็อีกเช่นกัน ครั้นเราจะเป็นเจ้าของโรงงานแบบนั้นอีก คงจะยากแล้ว เพราะหมดแล้วซึ่งยุคที่รุ่งเรืองด้านอุตสาหกรรม ต้องมีเงินมากพอเท่านั้นถึงจะอยู่ได้ยาวกว่าและเป็นอุตสาหกรรมที่ เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องใช้นั่นเอง















ยุคที่ คือ ยุคแห่งการสื่อสารไร้พรหมแดนยุคแห่งเทคโนโลยี
ยุคที่จะทำให้คนที่มีความรู้ และทันสมัยพอที่จะเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ จะเหมือนพยัคฆ์ติดปีกเลยทีเดียว สามารถนำไปใช้ได้หลากหลายรูปแบบ และเป็นพื้นฐานของการทำงานในอีกหลายๆ ด้าน แทบจะทุกด้านเลยทีเดียว







ยุคที่ คือ ยุคของธุรกิจเครือข่าย
ปัจจุบัน ต่างประเทศมากมายธุรกิจเครือข่ายเป็นที่ยอมรับ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เปิดโอกาสให้คนทุกระดับชั้นเข้ามาศึกษาและสามารถประสบความสำเร็จได้ทั่วถึงกัน ณ จุดนี้เองที่ทำให้ผม มองดูธุรกิจเครือข่าย ในมุมมองใหม่ๆ มุมมองของการกระจายรายได้ การกระจายรายได้ของธุรกิจเครือข่ายนั้นไม่ธรรมดา อยู่ที่เจตนาของผู้ก่อตั้ง ว่าอยากให้มีการกระจายแบบเน้นที่กลุ่มไหน กลุ่มผู้บริโภค หรือ กลุ่มนักขาย ส่วนใหญ่ในช่วงแรกๆของการเปิดตัวธุรกิจแนวๆนี้ มักจะเป็นธุรกิจที่เน้นเครือข่ายนักขายเพราะตรงนั้นเองจะทำให้ ผู้ก่อตั้งได้รับผลประโยชน์สูงมากในระดับหนึ่ง แต่ก็เกิดการตัดราคาเหมือนการขายของแข่งกันขึ้น แข่งกันให้มากกว่า ให้กระจายกว่า จนสุดท้ายถึงตอนนี้ ถึงที่สุดแล้วคือการกระจายรายได้ที่ 60% ของราคาสินค้า ให้ผู้ที่เข้าร่วมธุรกิจ ส่วนตัวผมคิดว่าหากมากกว่านี้ สินค้าที่บริโภค ราคาจะไม่สมน้ำสมเนื้อกับคุณภาพแล้วนั่นเอง จึงกล่าวได้ว่าช่วงเวลาแห่งการสู้รบปรบมือกันเรื่องของการแบ่งจ่ายผลประโยชน์นั้นหมดไปแล้ว
โดยผู้นำที่เป็นแนวหน้า นั้นมีการกระจายรายได้ถึง 60% และการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน ได้คุณภาพเต็มที่ และการสอดคล้องในชีวิตประจำวัน นั้นลงตัวแบบสุดๆ หากจะมีบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายแนวนี้ออกมาอีก คงไม่มีนัยสำคัญที่จะมาแข่งขันกันเรื่อง เหล่านี้อีกแล้ว ตอนนี้คงต้องแข่งขันกันที่ ใครจะเป็นเจ้าของเครือข่ายผู้บริโภค ที่ใหญ่กว่ากัน ที่สำคัญ ผู้ที่หลงเหลือจากยุคของธุรกิจเครือข่ายที่ร่ำรวยนั้นจะมีมากมาย เราเลือกเป็นคนที่สำเร็จในยุคนี้ หรือ จะปล่อยผ่านรอยุคใหม่นั้นแล้วแต่คุณตัดสินใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น